ยานยนต์ไฟฟ้า โอกาสกับความท้าทายของเรา
ยานยนต์ไฟฟ้า โอกาสกับความท้าทายของเรา
Monday, February 4, 2013
แนวโน้มยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าได้มาถึงผู้บริโภคแล้ว ในเมืองไทย รถยนต์ไฮบริดได้เป็นที่ยอมรับในการประหยัดน้ำมันและสมรรถนะที่ดีเทียบเท่าหรือดีกว่ารถน้ำมัน รถยนต์ไฟฟ้าล้วนก็ได้เปิดตัวแล้ว ในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นของนิสสัน หรือ ของจีเอ็ม ในตลาดโลกก็จึงกล่าวได้ว่า ทุกผู้ ผลิตมีผลิตภัณฑ์รถไฟฟ้าในมือ เพียงต่าง ไปในแต่ละรูปแบบและรูปลักษณ์ ทั้งนี้ส่วน หนึ่งก็เพื่อคงการมีอยู่ของเรือธงและไม่ให้คู่แข่งหนีไปไกลนักในผลิตภัณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมอีกมุมหนึ่ง ผู้ออกกฎหมายรายใหญ่เช่น จาก CAFE ของสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป ก็เป็นอีกฝ่ายหนึ่งที่บีบผู้ผลิตยานยนต์ให้ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ลดการปล่อยแก๊สเรือน กระจกด้วยเช่นกัน อีกมุมหนึ่ง รัฐบาลของ ประเทศเล็ก ๆ ก็มีการขยับตัวเพื่อคงการ แข่งขันได้ของประเทศ (ไม่นับประเทศผู้ ผลิตยานยนต์รายใหญ่) เช่นสิงคโปร์ได้มีการจัดตั้งโครงการ EV Test-Bed ในระดับ ประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 เพื่อผลักดันการทดลองใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า เช่นใน การส่งไปรษณีย์ และนำร่องธุรกิจการดัด แปลงรถให้เป็นรถไฟฟ้า (EV Conversion) ทั้งหมดนี้เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต้นน้ำทางอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้ากำลังที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือในไต้หวันได้ใช้ฐานความเชี่ยว ชาญของตนในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอ นิกส์ และผลักตัวเองเป็นผู้ผลิต LEV (Light Electric Vehicle) เช่น จักรยาน ยนต์ไฟฟ้า รถไฟฟ้าขนาดเล็กที่ขับบนถนน หลวงได้จริง รวมทั้งแบตเตอรี่และมอเตอร์ ขับเคลื่อน ตัวอย่างทั้งสองประเทศนี้เป็น นโยบายแบบ Top-Down พร้อมเงินลงทุน จากรัฐบาลในกรอบ 3-5 ปีในเบื้องต้น
ที่กล่าวมาข้างต้นว่าผู้ผลิตก็มีผลิตภัณฑ์ รัฐบาลก็ผลักดัน แล้วผู้บริโภคล่ะสนใจหรือไม่ จากเดิมที่รถไฟฟ้าดูเหมือนจะเป็นผลิต ภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ที่คล้ายว่าต้องยอม จ่ายแพงเพื่อโลกสีเขียว แต่ต้องยอมเสีย อะไรบางอย่างไปเช่นความไม่สะดวกสบาย แต่แท้จริงแล้ว ในปัจจุบันในอีกมากกรณี รถถูกปรับใช้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าก็ เพื่อสมรรถนะและความสบายที่เหนือกว่า ตัวอย่างก็เช่นระบบไฮบริดของ Porsche ที่ นอกจากจะประหยัดน้ำมันแล้ว อัตราเร่ง กลับเหนือกว่าเดิมเสียอีก พร้อมมากับความเงียบกริบ ไร้กลิ่นควันเมื่อขับเข้าโรงรถ และ การนำมอเตอร์มาขับเคลื่อนก็มีผลลดขนาดเครื่องยนต์ ให้ความทนทานและยังถนอม ระบบเบรกอีกด้วย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สำหรับผู้ซื้อรถ รถไฟฟ้าให้สมรรถนะ และความสบายที่เหนือกว่าได้จริงและกำแพงภาษีที่ต่ำลง (จากขนาดเครื่องยนต์ที่ลดลง) ก็ยังช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
Big oil / Small world
แต่ภาพที่เห็นจากทั้งจากผู้ผลิต รัฐบาล และผู้ซื้อรถ อาจมองได้ว่าล้วนรี ๆ รอ ๆ ใน การนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ ภาพที่อยากจะ นำเสนอในส่วนนี้คือ โลกใบนี้อาจเล็กไป สำหรับความอัศจรรย์ของน้ำมัน กล่าวคือ น้ำมันเรียกได้ว่าเป็นสสารที่เก็บพลังงานภายในได้มากอย่างอัศจรรย์ แม้เทคโนโลยี ปัจจุบัน การขับได้ในระยะทางเดียวกัน รถไฟฟ้าต้องการเนื้อที่เก็บกักพลังงานมาก กว่ารถน้ำมันราว 20 เท่าในด้านน้ำหนัก และ 15 เท่าในด้านปริมาตร ยิ่งไปกว่านั้น ในปัจจุบัน น้ำมันเรียกได้ว่าเป็นเชื้อเพลิงที่ ไม่มีวันหมดไป เพราะในไม่กี่ปีมานี้มีการขุด สำรวจแก๊สธรรมชาติจากแหล่งที่เรียกว่า Unconventional Reserve เช่นทรายน้ำ มัน หรือหินน้ำมันได้อย่างมหาศาล ซึ่งด้วย เทคโนโลยีปัจจุบันสามารถปรับมาใช้ใน ยานยนต์ไม่ว่าจะในรูปแก๊สธรรมชาติโดย ตรงหรือแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงเหลว ดังนั้นจากที่เราคุ้นเคยหรือเรียกได้ว่าติดใจกับ ความอัศจรรย์ของน้ำมันมากว่าร้อยปี หาก คำถามคือ น้ำมันจะหมดโลกหรือไม่ อาจ กล่าวได้ว่าไม่มีวันหมด หากคำถามคือ เรา จะเลิกใช้น้ำมันหรือไม่ อาจกล่าวได้ว่าคง ไม่เลิก (หากไม่จำเป็น) ดังนั้นคำถามที่น่า สนใจกว่าคือ โลกนี้จะหมดเวลาที่มีให้กับ มนุษย์หรือไม่
หลายคนคงได้เคยเห็นข้อมูลหรือได้รับ การบอกเล่าถึงความเกี่ยวเนื่องของการ ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กับการเพิ่ม ขึ้นของอุณหภูมิบนผิวโลกแล้ว ซึ่งจะไม่นำ มาเล่าซ้ำในที่นี้ แต่สิ่งที่อยากให้เห็นความ เกี่ยวเนื่องก็คือ การอยู่อาศัยที่เราทุกคนอยู่ กันบนโลกนี้ แท้จริงใช้ประโยชน์เฉพาะผิว โลก และผิวโลกนี้อยู่ได้ก็ด้วยชั้นบรรยากาศ ที่ออกซิเจน อุณหภูมิ สภาวะอากาศ ฝน ลม เมฆอยู่รวมกัน แต่ทั้งหมดนี้รวมอยู่ใน ชั้นบรรยากาศที่แสนบาง แม้นับสูงขึ้นไปถึง Tropopause ที่สุดปลายทางที่สภาวะ อากาศมีส่วนเกี่ยวข้องจะหนาเพียงไม่ถึง 10 กิโลเมตร แต่ก็ด้วยการขุดเจาะคาร์บอน ที่ฝังตัวอยู่ใต้โลกเป็นกิโลเมตรขึ้นมาใช้นี่เองที่ทำให้ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้น บรรยากาศเพิ่มขึ้นจากราว 260 ส่วนต่อ ล้านส่วนเมื่อหมื่นปีที่แล้ว ขึ้นแตะ 380 ส่วน ต่อล้านส่วนในปัจจุบัน และสัดส่วนที่ดูแสน น้อยนี้ นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าหาก แตะ 500 ส่วนต่อล้านส่วนก็จะหมายถึง หายนะของสภาวะภูมิอากาศในระดับโลก อันนี้คือข้อเท็จจริงเชิงข้อมูลวิทยาศาสตร์ บางคนอาจไม่เชื่อในความเกี่ยวเนื่อง แต่พอให้หันรอบตัวดูสภาวะอากาศที่แปร เปลี่ยนไป ก็ดูจะเชื่อมากขึ้น แต่ข้อดีของข้อ มูลวิทยาศาสตร์ก็คือ เขาให้แนวโน้มและตี กรอบเวลาให้เราได้ว่าอะไรควรทำ ควรทำ ก่อนเมื่อไร หากใครอยากทราบกรอบเวลา ว่าจากความเคยชินกับการใช้น้ำมันเชื้อ เพลิงในปัจจุบัน ก็สามารถค้นข้อมูลหาคำ ตอบได้ด้วยตัวเอง
อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจะไปอย่างไร
หากมองสะท้อนทิศทางระดับโลกมาสู่ ประเทศไทย จะมองอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าได้ในสามประเด็น คือด้านลักษณะ ผลิตภัณฑ์ ด้านทิศทางอุตสาหกรรม และ ด้านความท้าทายของประเทศ ในประเด็น แรกคือลักษณะผลิตภัณฑ์นั้น ปัจจุบันใน ตลาดโลก ลู่ทางการขายได้ในเชิงพาณิชย์ ของรถไฟฟ้ายังไม่ชัดเจนมากนัก แม้ว่า ราคาของต้นทุนสำคัญของรถไฟฟ้าเช่น แบตเตอรี่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน การออกสู่ตลาดจึงยังเป็นการออกผลิต ภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรถ ไฮบริดในรูปแบบที่หลากหลาย รถไฟฟ้าล้วนหรือรถไฟฟ้าแบบ Plug-in ในความ หลากหลายนี้ สำหรับประเทศไทย นักวิจัย หรือนักธุรกิจสามารถหยิบรูปแบบเทคโนโล- ยีมาพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือพัฒนาธุรกิจได้ ให้เหมาะกับบริบทของประเทศ เช่น รถ มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่จอดอยู่แทบทั้งวัน จะ ดีกว่าไหมที่จะใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ค่า บำรุงรักษารายเดือนอาจถูกกว่า พร้อมลด ไอเสียในตรอกซอกซอย หรือสำหรับรถ โดยสารที่การออกตัวกับน้ำหนักรถที่มาก หมายถึงไอเสียปริมาณมากมาย จะดีกว่า ไหมที่จะมีระบบไฮบริดเข้าช่วยโดยหาธุรกิจมาโมดิฟายเครื่องเดิม
สำหรับในเชิงอุตสาหกรรม เพื่อรองรับ ความหลากหลายของรูปแบบของรถไฟฟ้า หลายค่ายได้ปรับการออกแบบแชสซีให้มี ลักษณะ Modular ที่จะทำให้ง่ายและราคา ถูกต่อการปรับเปลี่ยน หรือแม้แต่ในระบบ ขับเคลื่อนเอง มอเตอร์หรือชุดแบตเตอรี่ ก็มีความพยายามทำให้ถอดเปลี่ยนหรือ Upgrade ได้ง่าย ทิศทางนี้ในส่วนหนึ่งทำ ให้ลักษณะองค์กรธุรกิจก็เปลี่ยนไป ดังจะ เห็นได้ว่าบริษัทขนาดเล็กก็สามารถใช้ จังหวะการปรับเปลี่ยนนี้ท้าทายบริษัทยักษ์ใหญ่ได้เช่นกัน เช่นบริษัท Tesla ที่ได้พัฒนา รถไฟฟ้าล้วนจนได้รับการยอมรับ และ สามารถได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลใน ระดับเดียวกับค่ายใหญ่ ๆ หรือที่ว่าในที่สุด โตโยต้าได้ดึงเข้าไปร่วมเพื่อพัฒนารถไฟฟ้าของตนเอง ดังนั้นหากรัฐมีการเปิดช่องสนับ สนุนตรงนี้ ธุรกิจชิ้นส่วนรูปแบบใหม่ ๆ อาจ เกิดขึ้นได้ และในประเด็นสุดท้าย อะไรคือ ความท้าทายของประเทศ จากโปรดักส์ แชมเปี้ยน ตั้งแต่รถปิกอัพถึงรถอีโคคาร์ โอกาสได้มาถึงแล้วหรือไม่ในการที่อุตสาห-กรรมของประเทศจะเติบโตจนมี Local Content ในสัดส่วนที่ให้เพิ่ม Competitive Advantage กับประเทศ โอกาสได้มาถึง แล้วหรือไม่ที่ Core Technology จะถูก กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาในประเทศ ซึ่งจะ ไม่พูดถึงเทคโนโลยีล้ำหน้าในด้านเครื่อง ยนต์แล้ว แต่โอกาสอยู่ที่เทคโนโลยีด้านมอ- เตอร์ ไฟฟ้ากำลังและแบตเตอรี่ที่ประเทศ ไทยมีโอกาสเข้าถึงได้มากกว่า
โอกาสกับความท้าทายของเรา
เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าได้มาถึงแล้ว ทั้งด้วยความพร้อมของผู้ผลิต ด้วยการตี กรอบของภาครัฐและด้วยการยอมรับของผู้ซื้อ แต่ดูเหมือนความอัศจรรย์ของน้ำมัน เชื้อเพลิงจะคงบดบังการเข้ามาอยู่ได้อีก ยาวนาน หากไม่มีใครมองรถไฟฟ้าว่าเป็น ส่วนหนึ่งที่จะช่วยเลี่ยงวิกฤติของสภาวะภูมิอากาศของโลกได้
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผ่านมาแสดงให้เห็น ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามีลักษณะ เฉพาะที่ดูเสมือนว่าจะให้โอกาสแก่บริษัท รายย่อยหรือประเทศเล็ก ๆ อุตสาหกรรม เกิดใหม่ใด ๆ ล้วนดูมีความเสี่ยง แต่กับ โอกาสที่เปิดขึ้น หลายบริษัทได้มองเป็น ความท้าทายและกระโดดเข้ามา หลาย ประเทศเล็ก ๆ ได้มองเป็นความท้าทายที่ ดูรอบคอบแล้วและกระโดดเข้ามา ศูนย์ วิจัยยานยนต์ฯ เห็นถึงความเร่งด่วนที่ ประเทศไทยจะเปิดรับเทคโนโลยียานยนต์ ไฟฟ้า (ผ่านนโยบาย กรอบภาษี หรือการ ให้ความเข้าใจแก่สาธารณะ) และมองหา ประโยชน์ที่เทคโนโลยีนี้จะมีได้แก่ประเทศ ไทยได้ในทันที (Niche ที่รถไฟฟ้าจะเกิด ได้และมีผลกระทบได้ต่อธุรกิจ สังคม สิ่ง แวดล้อม) ทั้งนี้ทางศูนย์วิจัยยานยนต์ฯ มุ่ง ประสานความสนใจและความร่วมมือระ หว่างภาครัฐ เอกชน รัฐวิสาหกิจและหน่วย งานวิชาการ เพื่อให้เทคโนโลยียานยนต์ไฟ ฟ้าเป็นบริบทสำคัญหนึ่งในอุตสาหกรรม ยานยนต์ที่จะพาประเทศไทยให้มีความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมและมีความแข็งแกร่งทางอุตสาหกรรมที่แข่งขันได้ในระดับนานาชาติ ทุกคนที่มีบทบาทได้ในทิศทางนี้ แม้ แต่ท่านเองก็ตาม จุดเริ่มต้นของการเดิน หน้าคือการตระหนักถึงความสำคัญ เมื่อ อ่านมาถึงตรงนี้ก็หวังว่าท่านจะเห็นเช่นนั้น ด้วยเช่นกัน
โดย ผศ. ดร.อังคีร์ ศรีภคากร ศูนย์วิจัยยานยนต์และระบบขนส่งอัจฉริยะ